มาดูกันว่า
กระเทียมมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอะไรบ้าง
ทราบแล้วคุณอาจจะรู้สึกทึ่งกับเล็กพริกขี้หนูอย่างมัน และสารต่างๆ
ที่มีสรรพคุณที่ดีเยี่ยมของกระเทียม ได้แก่
คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล ใยอาหาร โปรตีน เบต้าแคโรทีน
วิตามินบี1
วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5
วิตามินบี6 โฟเลต วิตามินซี เหล็ก แมกนีเซียม
ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม สังกะสี แมงกานีส ซีลีเนียม แคลเซียม
นอกจากนี้ยังมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งประกอบด้วยสารอินทรีย์กำมะถันหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการบำบัดรักษา
เช่น อัลลิอิน (alliin)
อัลลิซิน (allicin) ไดอัลลิลไดซัลไฟด์ (daiallyl
disulfide) ไดอัลลิลไตรซัลไฟด์ (daiallyl trisulfide) เมททิลอัลลิลไตรซัลไฟด์ (methyl allyl trisulfide) เป็นต้น
การจะได้รับสารอาหารต่างๆ
จากกระเทียมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด ควรบด หรือสับกระเทียมทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ก่อนที่จะนำมารับประทาน หรือประกอบอาหาร
คุณสมบัติของกระเทียม
- ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
- รักษาระดับคอเลสเตอรอลให้เป็นปกติ
- ช่วยขับสารพิษปนเปื้อนในเม็ดเลือด
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรค
คอตีบ ปอดบวม ไทฟอยด์ และคออักเสบ
- ช่วยรักษาโรคกลาก
ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- ช่วยขับพยาธิในคนและสัตว์
- ช่วยเจริญอาหาร
- ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
ผลข้างเคียงที่เกิดจากการรับประทานกระเทียมในผู้บริโภคบางรายนั่นคือเกิดอาการเสียดท้องเล็กน้อย
แต่ไม่มีอันตรายใดๆ กับร่างกาย
ปัจจุบันนี้เป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้นในการที่จะรับประทานกระเทียมแบบไม่ต้องทนทรมานกับกลิ่นของมัน
เพราะมีสารสกัดจากกระเทียมที่อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพแบบชนิดแคปซูล
ซึ่งทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น และส่งผลดีต่อร่างกายมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้รับประทานกระเทียมเพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม
การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากกระเทียม ควรที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่า
ปลอดภัยกับคุณเสียก่อน เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
แต่สำหรับคนที่ไม่นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
การจะรับประทานกระเทียมเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายนั้น
สามารถรับประทานได้จากอาหารในแต่ละมื้อตามความต้องการของคุณ
โดยเลือกจากเมนูที่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ และควรรับประทานกระเทียมให้ได้วันละ 2-3 หัว ร่างกายจึงจะได้รับประโยชน์จากกระเทียมดีที่สุด
ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะควรที่จะรับประทานกระเทียมพร้อมอาหาร
หรือหลังอาหาร เพื่อป้องกันการเกิดการระคายเคืองที่กระเพาะอาหาร |